- การฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก เป็นวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่ใกล้เคียงกับวิธีธรรมชาติอีกวิธีหนึ่ง โดยหลักการน้ันคือการฉีดน้ำเชื้อที่ได้รับการคัดแยกเฉพาะส่วนที่มีชีวิตแล้วฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกในขณะที่มีการตกไข่ หลังจากน้ันตัวอสุจิจะว่ายจากโพรงมดลูกเข้าไปในท่อนำไข่เพื่อไปพบกับไข่ในส่วนกลางของท่อนำไข่ เมื่อไข่และอสุจิผสมกันเป็นตัวอ่อนแล้ว ตัวอ่อนจึงจะเดินทางมาฝังตัวในมดลูก ดังน้ันในกรณีที่มีการตกไข่เพียงแค่หนึ่งใบ โอกาสในการตั้งครรภ์จึงใกล้เคียงธรรมชาติมาก ในกรณีที่ใช้ยากินหรือยาฉีดเพื่อให้มีไข่ตกมากกว่าหนึ่งใบ จะทำให้มีโอกาสของการตั้งครรภ์มากขึ้นได้ อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว โอกาสในการตั้งครรภ์จากการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกนั้นมีอยู่ประมาณ 10-25% ต่อการฉีดหนึ่งรอบของการตกไข่
- การฉีดน้ำเชื้อนั้นสามารถทำได้ในภาวะมีบุตรยากที่เกิดจากสาเหตุหลายอย่างเช่นฝ่ายหญิงมีปัญหาไข่ไม่ตกชนิดธรรมดา หรือมีปัญหาฝ่ายชายน้ำเชื้ออ่อนในเกณฑ์ไม่รุนแรง หรือในรายที่มีปัญหาเรื่ิองของเวลามีเพศสัมพันธ์เนื่องจากการแยกกันอยู่ หรือมีปัญหามีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ นอกจากนี้การฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกยังเหมาะกับคู่สมรสที่ตรวจหาสาเหตุไม่พบ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Unexplained infertility
- โดยพบว่าในกลุ่มของคู่สมรสที่ตรวจไม่พบสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก ฝ่ายหญิงอายุมากกว่า 35 ปี และได้พยายามในการมีบุตรมาอย่างน้อย 2 ปี โดยที่ฝ่ายชายน้ำเชื้อเป็นปกติดีน้ัน จะมีโอกาสตั้งครรภ์จากการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกประมาณ 8-12% ต่อการฉีดหนึ่งรอบประจำเดือน และมักจะตั้งครรภ์ในการฉีด 3 ครั้งแรกเท่านั้น หลังจากสามครั้งแล้วโอกาสตั้งครรภ์จากการฉีดน้ำเชื้อครั้งที่สี่มีน้อยมาก แต่พบว่าคู่สมรสกลุ่มนี้เมื่อทำเด็กหลอดแก้ว จะมีโอกาสในการตั้งครรภ์ประมาณมากกว่า 50% ต่อการกระตุ้นไข่หนึ่งครั้ง
- การฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกนั้นไม่เหมาะสำหรับปัญหามีบุตรยากที่เกิดจาก
- ฝ่ายหญิงอายุมากกว่า 40 ปี หรือรังไข่เสื่อมหรือหมดประจำเดือนแล้ว
- ท่อนำไข่อุดตันหรือท่อนำไข่เสียหายมากจากพังผืดในอุ้งเชิงกราน
- น้ำเชื้ออสุจิอ่อนอยู่ในเกณฑ์รุนแรงมาก เช่นมีจำนวนตัวอสุจิต่ำ หรือตัวอสุจิมีการเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติมาก
- ภาวะโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ขั้นที่ลุกลามกระจายทั่วอุ้งเชิงกรานและทำให้เกิดพังผืดมาก
- โอกาสในการประสบความสำเร็จจากการฉีดนำเชื้อเข้าโพรงมดลูกนั้นขึ้นกับปัจจัยต่างๆเช่น
- อายุของฝ่ายหญิง อายุน้อยมีโอกาสตั้งครรภ์มากกว่า
- จำนวนตัวอสุจิในวันที่ฉีดน้ำเชื้อ ถ้าจำนวนตัวอสุจิที่ฉีดเข้าไปมีมากกว่า 5 ล้านตัวมีโอกาสในการตั้งครรภ์มากกว่า
- ชนิดของยาฉีดกระตุ้นไข่ได้ผลดีกว่ายากิน
- ขั้นตอนการรักษาโดยการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกจะเริ่มจากการกระตุ้นไข่ก่อน โดยจะเร่ิมใช้ยากระตุ้นไข่ วันที่สองหรือวันที่สามของการมีประจำเดือนมา (นับจากวันแรกที่มา) เป็นเวลานาน 5 วัน หลังจากนั้นวันที่สิบสองของรอบประจำเดือน มาตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูว่าขนาดไข่โตเท่าไร และจะโตเต็มที่เมื่อไร เพื่อวางแผนการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกและฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก โดยฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกเป็นเวลา 36-40 ชั่วโมงก่อนการฉีดนำ้เชื้อ
- ส่วนการใช้ยาฉีดกระตุ้นไข่นั้น เริ่มฉีดยาวันที่สองหรือวันที่สามของการมีประจำเดือน ฉีดต่อเนื่องเป็นเวลา 8-10 วัน ในระหว่างการฉีดยาจะมีการตรวจติดตามการเจริญเติบโตของไข่ด้วยการวัดระดับฮอร์โมนเพศในร่างกายและตรวจอัลตราซาวด์ เมื่อขนาดไข่ที่โตที่สุดนั้นมีขนาดถึง 2 ซม จะเริ่มฉีดยากระตุ้นให้ไข่สุกและตกอีก 36 ชั่วโมงต่อมาซึ่งจะเป็นเวลาที่ฉีดน้ำเชื้อ
- โดยขั้นตอนการฉีดน้ำเชื้อนั้นเหมือนการตรวจภายในตามปกติ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล หลังฉีดเสร็จสามารถกลับบ้านได้ เช้าวันที่มาฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก ฝ่ายชายจะมาเก็บน้ำเชื้อที่โรงพยาบาลโดยใช้วิธีช่วยตัวเองให้หลั่งน้ำเชื้อออกมาเก็บไว้ในกระปุกสำหรับเก็บน้ำเชื้อเพื่อการคัดแยกโดยเฉพาะ โดยสามารถศึกษาวิธีการเก็บน้ำเชื้อได้จาก คู่มือปฏิบัติตัวสำหรับการเก็บน้ำอสุจิ
- น้ำอสุจิที่เก็บได้จะผ่านขบวนการสำหรับการคัดแยก เพื่อได้ตัวอสุจิที่มีชีวิต และคัดแยกตัวตายออกไป ตัวอสุจิที่มีชีวิตและวิ่งเร็วเหล่านี้จะถูกนำไปฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกโดยใช้สายขนาดเล็ก
ภาพแสดงการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก
วิดีโอแสดงเทคนิคของวิธีการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก ถ้าต้องการดูวิดีโอขนาดใหญ่ขึ้นใน youtube ให้ double click ที่วิดีโอ
มีคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกดังนี้
- จำเป็นต้องฉีดน้ำเชื้อกี่ครั้ง หลังจากนั้นควรจะเปลี่ยนวิธีการรักษา
- ปริมาณตัวอสุจิเท่าไร จึงจะมากพอสำหรับการตั้งครรภ์
- ควรจะฉีดน้ำเชื้อหนึ่งหรือสองครั้งจึงจะทำให้โอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด
- สาเหตุที่ไม่ตั้งครรภ์จากการฉีดน้ำเชื้อมีอะไรบ้าง
คำแนะนำหลังฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก
- การฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก เป็นวิธีการรักษาแบบใกล้เคียงธรรมชาติ การปฏิบัติตัวจึงไม่แตกต่างไปจากการตั้งครรภ์ธรรมชาติ คือไม่มีการจำกัดกิจวัตรประจำวัน ให้ปฏิบัติตามปกติ สามารถออกกำลังกายตามปกติได้หรือมีเพศสัมพันธ์ได้
- หลังฉีดน้ำเชื้อบางรายอาจมีอาการปวดหน่วงท้องน้อยได้ เนื่องจากมีไข่ตกในช่วงน้ัน และเกิดจากการฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูก กระตุ้นที่ตัวมดลูกให้บีบตัว
- หลังฉีดน้ำเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการอะไรผิดปกติ หรือบางคนอาจมีเลือดออกกระปริดกระปรอย หรือคัดเต้านมได้
- บางรายอาจได้รับยาเหน็บทางช่องคลอดเพื่อเสริมฮอร์โมนจากขั้นตอนการกระตุ้นไข่ ส่วนกรณีที่ใช้ยากินอย่างเดียว ไม่ต้องเหน็บยาทางช่องคลอด
- หลังการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกประมาณ 12-14 วัน สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้
คำแนะนำบางประการเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก
- การฉีดนำ้เชื้อเข้าโพรงมดลูก มีโอกาสตั้งครรภ์จากการฉีดอยู่ที่ 10-20% ต่อการฉีดแต่ละครั้ง
- การฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูกเป็นวิธีกึ่งธรรมชาติ โอกาสต้ังครรภ์จึงไม่สูงนัก เมื่อไม่ประสบความสำเร็จจากวิธีนี้ สามารถฉีดซ้ำได้ 2-3 ครั้ง ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิง ในกรณีฝ่ายหญิงอายุมากกว่า 35 ปี การฉีดน้ำเชื้อไม่ควรเกิน 2 ครั้ง
- ในกรณีที่ไม่ตั้งครรภ์จากการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก วิธีถัดไปคือการผสมภายนอกร่างกายหรือเรียกว่าเด็กหลอดแก้ว ซึ่งจะให้โอกาสตั้งครรภ์มากกว่าฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก 3-4 เท่า หรือมีโอกาสมากกว่า 50% ในกรณีที่อายุน้อยกว่า 35 ปี
No comments:
Post a Comment